เช็กสัญญาให้ชัวร์ ก่อนจ้างบริษัทรับสร้างบ้าน 2 ชั้น

แชร์บทความ

บริษัทรับสร้างบ้าน

การมีบ้านเป็นของตัวเองสักหลัง คงเป็นความฝันอันยิ่งใหญ่ของใครหลายคน เพราะบ้านคือสถานที่อยู่อาศัย ที่จะทำให้ชีวิตของเรามีความสุข สามารถพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ในพื้นที่ส่วนตัว และทำกิจกรรมในช่วงวันหยุดกับครอบครัว 

แต่กว่าจะสร้างบ้านได้สักหลัง เจ้าของบ้านอาจต้องแลกมากับเรื่องที่น่าปวดหัว และต้องเผชิญกับปัญหาเล็กน้อยได้ในทุกเรื่อง อย่าง การจ้างผู้รับเหมาก่อสร้าง หรือบริษัทรับสร้างบ้าน ที่ทำงานไม่ดี ไม่มีคุณภาพ ก่อสร้างช้า และชอบปัดความรับผิดชอบ สำหรับใครที่มีข้อสงสัยว่า สัญญาสร้างบ้านชั้นเดียว ต่างจากบ้านสองชั้นหรือไม่ 

วันนี้ Royal House อยากจะพาทุกคนมาดูสาระน่ารู้เกี่ยวกับการเช็กสัญญาก่อสร้างบ้านให้ถี่ถ้วน เพื่อย้ำถึงความสำคัญของการตรวจสอบก่อนตกลงจ้างบริษัทรับสร้างบ้าน 2 ชั้น เพื่อให้คุณได้บ้านที่ตรงกับความต้องการ และมีคุณภาพเมื่อเข้าอยู่อาศัยมากที่สุด หากพร้อมแล้ว ตามพวกเรามาดูกันเลย 

เรื่องน่ารู้ ! สัญญาก่อสร้างบ้าน คืออะไร 

ก่อนที่จะไปตรวจเช็กสัญญาก่อสร้างบ้าน เราขอพาทุกคนมาทำความรู้จักกับสัญญาสร้างบ้านชั้นเดียว และบ้านสองชั้นให้มากขึ้นกัน โดยสัญญาก่อสร้างบ้าน หรือสัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง คือ เอกสารสัญญาที่ระบุข้อตกลง ข้อกำหนดต่าง ๆ รวมกันเป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างผู้ว่าจ้าง และผู้รับจ้าง 

เพื่อให้เข้าใจข้อตกลงร่วมกันว่าผู้ว่าจ้าง จะจ่ายค่าตอบแทนให้กับการดำเนินการก่อสร้าง ตามรายละเอียดข้อตกลงการก่อสร้าง ในระยะเวลาที่กำหนดตามสัญญาให้แล้วเสร็จ เพื่อให้ผู้รับจ้างได้รับค่าจ้างที่ตกลงกันเอาไว้ 

โดยรายละเอียดของสัญญาก่อสร้าง จะมีต้องการระบุข้อตกลงที่มีความชัดเจน และเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น ผู้รับจ้าง หรือผู้ว่าจ้าง ซึ่งรายละเอียดของสัญญาจะมีดังนี้ 

  • วันที่ และสถานที่ในการทำสัญญา 

ควรระบุให้ชัดเจนว่า บริษัทรับสร้างบ้านจะก่อสร้างบ้านให้เสร็จภายในช่วงเวลาไหน รวมถึงระบุเงื่อนไขปรับลดค่าจ้างในกรณีที่งานเสร็จล่าช้า เพื่อระบุให้ทั้งสองฝ่ายทราบว่าสัญญาก่อสร้างฉบับนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่เท่าไหร่ ทำสัญญาที่ไหน และมีอายุสัญญาทั้งหมดกี่ปี 

  • ข้อมูลส่วนบุคคลของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย

โดยจะต้องระบุข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ว่าจะเป็น ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ ที่อยู่หน่วยงาน เบอร์โทรศัพท์ หรือข้อมูลอื่น ๆ ที่สามารถยืนยันตัวตนผู้ว่าจ้าง และผู้รับจ้างได้ เพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทรับสร้างบ้านหนีหาย หรือทิ้งงาน

  • ขอบเขต และลักษณะของเนื้องานที่รับผิดชอบ

ระบุให้ชัดเจนว่าต้องการให้ทีมงานสร้างบ้านในรูปแบบไหน หรือสถานที่ในการก่อสร้าง เช่น หากต้องการสร้างบ้านชั้นเดียว 3 ห้องนอน ต้องระบุให้ชัดเจนว่าควรสร้างบ้านขนาดกี่ตารางเมตร และแปลนบ้านในห้องมีอะไรบ้าง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหางบประมาณบานปลาย หรือสร้างบ้านออกมาไม่ตรงใจผู้ใหญ่ 

  • ราคา และรายละเอียดการจ่ายงวดงาน

โดยจะมีรายละเอียด ทั้งค่าจ้างเหมา การจ่ายชำระก่อนการเริ่มดำเนินการกี่เปอร์เซ็นต์ การแบ่งงวดงานออกเป็นงวด และการจ่ายชำระเงินงวดงานในแต่ละงวดกี่เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ แนะนำให้มีการกำหนดการจ่ายค่าจ้างเป็นงวด ๆ เพื่อลดความเสี่ยงทางด้านการเงิน ทั้งยังช่วยรับประกันได้ว่า หากช่างงานไม่มีฝีมือ เจ้าของบ้านก็สามารถขอยกเลิกการจ้างงานได้ โดยไม่ต้องเสียเงินก้อนโต

  • ระยะเวลาของสัญญา

อีกหนึ่งสิ่งที่เจ้าของบ้าน ควรระบุไว้ในสัญญาสร้างบ้านให้ชัดเจน คือ กำหนดระยะเวลาของสัญญา ตั้งแต่เริ่มดำเนินการก่อสร้าง จนถึงการดำเนินงานก่อสร้างเสร็จสิ้น โดยจะต้องระบุระยะเวลาการก่อสร้างให้ชัดเจน จะช่วยให้ทีมงานของบริษัทรับสร้างบ้าน มีกรอบระยะเวลาการทำงานที่ชัดเจน 

  • รายละเอียดของหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ว่าจ้าง

นอกจากการระบุกรอบระยะเวลาแล้ว เจ้าของบ้านควรระบุขอบเขตความรับผิดชอบให้เรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็น สิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนแก้ไขเพิ่มเติม หรือปรับลดรายการ และแบบก่อสร้างเดิม หรือปรับเปลี่ยนวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างภายในระยะเวลาที่กำหนดที่ตกลงกันไว้ อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าจ้างมีสิทธิ์สั่งหยุดงาน หากเห็นว่ามีการดำเนินการไม่ถูกต้องตามแบบแปลน หรือมีสิทธิ์ระงับและไม่จ่ายค่างวดงานในส่วนดังกล่าว เป็นต้น 

  • รายละเอียดหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้รับจ้าง

ในส่วนของรายละเอียด และขอบเขตงานของผู้ว่าจ้าง เจ้าของบ้านควรระบุให้ชัด ไม่ว่าจะเป็น ผู้รับจ้างจะต้องดำเนินการก่อสร้างให้ถูกต้อง และแล้วเสร็จตามสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างในระยะเวลาที่กำหนด รวมถึงผู้รับจ้างสามารถโอนงานให้ผู้อื่นได้ แต่ยังคงเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมดตามระบุในสัญญา เป็นต้น 

  • รายละเอียดของการเลือกวัสดุ อุปกรณ์ในการก่อสร้าง 

ซึ่งผู้รับจ้างจะต้องกรอกรายละเอียด ข้อมูลของวัสดุ และอุปกรณ์ที่เลือกใช้อย่างละเอียด เพื่อที่จะให้ผู้ว่าจ้างรู้ว่าวัสดุ หรืออุปกรณ์ที่เลือกมานั้น มีคุณภาพได้มาตรฐานหรือไม่ 

  • การรับประกันคุณภาพหลังจากส่งมอบงาน 

ตามกฎหมายแล้ว เมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้ซื้อแล้ว บริษัทสร้างบ้านจะต้องมีการรับประกันความเสียหาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะมีระยะเวลาการรับประกันอยู่ที่ 1-5 ปี หากผู้ว่าจ้างเข้าอยู่แล้วเกิดปัญหา ยกตัวอย่างเช่น เกิดรอยร้าว รอยแตก หรือหลังคารั่ว ผู้รับจ้างจะต้องทำการซ่อมแซมให้บ้านมีคุณภาพแบบเดิม ก็สามารถให้บริษัทรับสร้างบ้านดำเนินการแก้ไขได้ทันที โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

  • การยกเลิกสัญญาว่าจ้าง และสิทธิ์ในการเรียกร้องค่าเสียหาย 

ในกรณีที่ต้องการยกเลิกสัญญา หรือเรียกร้องค่าเสียหาย ในสัญญาสร้างบ้านชั้นเดียว และสองชั้น จะต้องระบุรายละเอียดข้อกำหนดของการยกเลิกสัญญา และสิทธิ์ในการเรียกร้องค่าเสียหายให้ชัดเจน เพื่อที่จะมีหลักฐานในการฟ้องร้อง หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำผิดสัญญา 

  • การลงนามเซ็นสัญญา 

เมื่อระบุสัญญาสร้างบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในแผ่นสุดท้ายของสัญญา จะต้องมีการลงนามของผู้ว่าจ้าง ผู้รับจ้าง พยานคนที่ 1 และพยานคนที่ 2 ให้ชัดเจน ทั้งนี้ ไม่ควรมีการลงนามแค่เพียง 2 คนเท่านั้น เผื่อในกรณีฉุกเฉินจะได้มีหลักฐาน หรือข้อมูลจากพยานมาให้ปากคำ 

6 ข้อควรระวัง! ที่ควรเช็กก่อนตกลงทำสัญญาจ้างบริษัท รับสร้างบ้าน 2 ชั้น 

เมื่อเจ้าของบ้านได้ทำความเข้าใจ เกี่ยวกับเรื่องสัญญาก่อสร้างกันมากขึ้นแล้ว ว่าในสัญญาควรมีรายละเอียดอะไรบ้าง ต่อมาเรามาดูข้อควรระวังที่ควรเช็กก่อนตกลงทำสัญญาจ้างบริษัทรับสร้างบ้าน ซึ่งข้อควรระวังที่ควรเช็ก มีดังนี้  

1. การทำความเข้าใจขอบเขตการก่อสร้าง

ก่อนที่จะเริ่มตกลงทำสัญญาก่อสร้าง ควรกำหนดขอบเขตของงานอย่างชัดเจน และไม่ควรมีรายละเอียดที่คลุมเครือ เพื่อป้องกันในกรณีที่เจอบริษัทรับสร้างบ้านที่ไม่ดี ไม่มีความซื่อสัตย์ หรือปัดความรับผิดชอบ รวมถึงหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด และความขัดแย้งในระหว่างการก่อสร้างอีกด้วย 

2. เงื่อนไขการชำระเงินต้องระบุให้ละเอียด

เงื่อนไขการชำระเงินควรระบุในสัญญาให้ชัดเจน คือ ต้องแจ้งรายละเอียดของจำนวนเงินในการก่อสร้างทั้งหมด รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพิ่มเติมที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้ตรวจสอบได้ว่าจะต้องชำระเงินเมื่อไหร่ จำนวนเงินเท่าใด เปอร์เซ็นต์การจ่ายเงินแต่ละงวดเหมาะสมกับปริมาณงานหรือไม่? 

โดยอ้างอิงจากบัญชีแสดงราคา และปริมาณวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง หรือ BOQ หรือ Bill of Quantities เพื่อให้คุณควบคุมงบประมาณก่อสร้างได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ ต้องระวังค่าใช้จ่ายแอบแฝง หรือข้อกำกวม ที่อาจนำไปสู่ความยุ่งยากทางการเงินในภายหลัง

3. เส้นระยะเวลาวันที่เสร็จสิ้น

สัญญาก่อสร้างที่ดี ควรมีการระบุวันที่เริ่มต้นก่อสร้าง และวันที่เสร็จสิ้นการก่อสร้างอย่างชัดเจน เพื่อที่คุณจะได้ตรวจสอบได้ว่า ระยะเวลาก่อสร้างนั้นสมเหตุสมผลหรือไม่ และช่วยให้เจ้าของบ้านเตรียมตัววางแผนย้ายเข้าบ้านได้นั่นเอง อย่างไรก็ตาม อย่าลืมตรวจสอบสัญญาด้วยว่า ขั้นตอนการสร้างดำเนินล่าช้า หรือเสร็จไม่ทันตามระยะเวลาที่กำหนดเอาไว้หรือไม่ เพื่อเรียกร้องค่าปรับ หรือการเยียวยาในกรณีที่การก่อสร้างล่าช้าเกินกำหนด

4. ข้อมูลของวัสดุ และอุปกรณ์ในการก่อสร้าง 

ในสัญญาควรระบุรายละเอียดของวัสดุ และอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างให้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น ยี่ห้อ ประเภท และเกรดของวัสดุ เพื่อที่คุณจะได้มั่นใจได้ว่า วัสดุที่ใช้งานมีคุณภาพได้มาตรฐานตามที่คุณต้องการ 

5. การรับประกัน

ตรวจสอบให้แน่ใจว่าบริษัทรับสร้างบ้านมีการคุ้มครอง หรือมีประกันที่เหมาะสมหรือไม่ เพราะหากมีประกันหลังการขาย จะช่วยปกป้องบ้านคุณจากความเสียหายในการก่อสร้าง หรือจากสาเหตุอื่น ๆ เพียงเท่านี้เจ้าของบ้านก็มั่นใจได้แล้วว่า เงินที่จ่ายไปคุ้มค่าทุกบาท ทุกสตางค์อย่างแท้จริง 

6. การยกเลิกสัญญา หรือการเปลี่ยนแปลงการก่อสร้าง

สัญญาก่อสร้างที่ดี ควรระบุข้อมูลในการยกเลิกสัญญาอย่างชัดเจน ว่าถ้าหากผู้รับเหมาขาดความรับผิดชอบ ให้ผู้ว่าจ้างสามารถยกเลิกสัญญาได้ทุกเมื่อ เพื่อที่จะได้เป็นหลักประกัน และความเป็นธรรมของทั้งสองฝ่าย 

อย่างไรก็ตาม ก่อนจะตกลงทำสัญญาว่าจ้างบริษัท รับสร้างบ้าน 2 ชั้น เจ้าของบ้านควรตรวจเช็กให้แน่ชัดก่อนตกลงเซ็นสัญญา เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นตามมาภายหลัง และเป้องกันไม่ให้คุณถูกเอาเปรียบจากบริษัทรับสร้างบ้าน หรือผู้รับเหมา 

ทั้งนี้ หากคุณกำลังมองหาบริษัทรับสร้างบ้านที่มีคุณภาพ มีมาตรฐาน มีรายละเอียดการทำสัญญาที่ชัดเจนไม่เอาเปรียบผู้ว่าจ้าง ที่ Royal House เราเป็นบริษัทรับสร้างบ้านที่ได้มาตรฐาน และมีประสบการณ์สร้างบ้านครบวงจรมามากกว่า 38 ปี เรามีความเชี่ยวชาญในการสร้างบ้านมามากกว่า 6,000 หลัง พร้อมทีมงานที่มีประสบการณ์ เพื่อสร้างบ้านออกมาให้มีคุณภาพตรงตามมาตรฐานตามแบบฉบับ Royal House หากสนใจ หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ Line: @royalhouse

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอม ให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

บันทึกการตั้งค่า