การมีบ้านสักหลังเป็นของตัวเอง อาจเป็นความฝันสูงสุดของใครหลาย ๆ คน โดยบ้านเป็นอสังหาริมทรัพย์ ที่สามารถซื้อขายได้ปกติ ไม่ว่าจะเป็นซื้อบ้านใหม่กับโครงการต่าง ๆ หรือซื้อเก่าบ้านมือสองต่อจากผู้อื่น
ทั้งนี้ เจ้าของบ้านที่ต้องการบ้านที่ตรงความต้องการมากที่สุด จึงเลือกที่จะสร้างบ้านบนที่ดินของตัวเอง โดยใช้บริการจากผู้รับเหมา หรือบริษัทรับสร้างบ้าน กทม. มาเป็นพาร์ตเนอร์ในการก่อสร้างบ้านให้สมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม การสร้างบ้านสักหลักในพื้นที่ของตนเอง โดยเฉพาะพื้นที่ดินในกรุงเทพฯ มีข้อกฎหมาย และข้อบังคับไว้หลายเรื่อง เช่น ระยะร่นอาคาร พื้นที่ว่างของบ้าน หรือระยะห่างจากกำแพง เป็นต้น ดังนั้น ในบทความนี้ Royal House ขอแชร์หลักการเกี่ยวกับการสร้างบ้านเดี่ยวในกรุงเทพฯ จะมีอะไรบ้าง ตามไปดูกันเลย
ข้อควรรู้การขออนุญาตสร้างบ้าน โดยบริษัท รับสร้างบ้าน กทม.
ก่อนสร้างบ้าน จำเป็นต้องทำการขออนุญาตก่อสร้างทุกครั้ง ซึ่งรวมไปถึงการต่อเติมบ้านด้วย เพื่อประเมินว่าบ้านที่กำลังสร้างแข็งแรง และปลอดภัยต่อผู้อยู่อาศัยที่บริเวณรอบ ๆ โดยการขออนุญาตการก่อสร้าง สามารถทำได้ 2 วิธี ดังนี้
ยื่นขออนุญาต และรอใบอนุญาต 45 วัน
นำเอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับการขอใบอนุญาต ให้กับเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตในพื้นที่กำลังก่อสร้างบ้านอยู่ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะตอบกลับว่าอนุญาตหรือไม่ โดยต้องรอผลประกาศ 45 วันนับจากวันที่ยื่นอนุญาต และใบอนุญาตจะมีกำหนดอายุไม่เกิน 1 ปี (สำหรับบ้านที่มีพื้นที่รวมกันน้อยกว่า 10,000 ตารางเมตร)
ไม่ยื่นขออนุญาต แต่แจ้งความ ม.39 ทวิ
หากไม่ทำการยื่นคำขอตามข้อแรก แต่ใช้การแจ้งแทน โดยให้แจ้งแก่สำนักงานเขตที่บ้านตั้งอยู่ โดยต้องแนบเอกสารที่กฎหมายกำหนดไปด้วย เช่น ชื่อของผู้รับผิดชอบงานออกแบบ และคำนวณอาคาร ชื่อของผู้ควบคุมงาน และแบบแปลนอาคาร เป็นต้น
ถ้าทุกอย่างเรียบร้อย เจ้าหน้าที่จะออก “ใบรับแจ้ง” ภายใน 3 วัน นับจากวันชำระค่าธรรมเนียม ก็สามารถเริ่มการก่อสร้างได้เลย ทั้งนี้ ภายใน 120 วัน หรือหลังจากวันเริ่มก่อสร้าง หากพบว่าการก่อสร้างไม่เป็นไปตามแบบแปลน และไม่ถูกต้องตามกฎหมาย พรบ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 หรือข้อบัญญัติอื่น ๆ เจ้าหน้าที่สำนักงานเขตมีสิทธิ์ทักท้วงแบบแปลนของคุณ รวมถึงร้องขอแก้ไข เพื่อให้เป็นไปตามกฎระเบียบของบ้านเมือง
6 ข้อควรรู้ก่อนสร้างบ้านในกรุงเทพฯ จากบริษัท รับสร้างบ้าน
การสร้างบ้าน จำเป็นต้องวางแผนการสร้างบ้านตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อให้เห็นภาพรวมของบ้าน เพื่อเตรียมความพร้อมให้สามารถรับมือ และแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น อีกทั้งการวางแผนสร้างบ้านที่ดี ทำให้การก่อสร้างบ้านเป็นไปตามเวลาที่กำหนด ซึ่งช่วยป้องกันปัญหาด้านการเงิน ที่อาจบานปลายได้ ดังนั้น ข้อควรรู้ที่ไม่ควรมองข้าม ที่บริษัทรับสร้างบ้าน กทม. นำมาฝาก มีดังนี้
1. ดูทำเลที่ตั้ง หรือที่ดินสำหรับปลูกสร้าง
การเลือกทำเลที่ตั้งในการปลูกบ้าน ถือเป็นปัจจัยสำคัญในเรื่องของการสร้างบ้าน ซึ่งเจ้าของบ้านควรคำนึงถึงความสะดวกสบายหลังจากที่บ้านสร้างเสร็จแล้ว เช่น ระบบขนส่งสาธารณะ การเดินทางไปที่ทำงาน และความปลอดภัยของย่านทำเลที่อยู่อาศัย รวมไปถึงเส้นทางในการเดินทางเข้า-ออกจากบ้าน ซึ่งควรมีมากกว่า 1 เส้นทาง
2. ดูระดับความสูงของพื้นที่ ต้องถมที่ดินหรือไม่
การถมที่ดินเพื่อเพิ่มระดับความสูงของตัวบ้าน เป็นสิ่งที่ควรทำในลำดับแรกก่อนการสร้างบ้าน เนื่องจากการยกระดับพื้นที่ จะช่วยให้การระบบท่อภายในบ้านสูงกว่าถนน จึงไม่ทำให้น้ำไหลกลับเข้ามาภายในบ้าน โดยระดับวิธีถมที่ดิน สามารถพิจารณาได้ทั้ง 2 วิธี ได้แก่
- คำนวณระดับพื้นถนนหน้าบ้าน: ความสูงของระดับการปรับหน้าดิน ที่จะทำการก่อสร้างควรอยู่สูงกว่าระดับถนน 50 เซนติเมตรขึ้นไป
- คำนวณจากพื้นที่น้ำท่วม: หากพื้นที่บ้านเคยน้ำท่วมถึง ให้ทำการทำถมที่ดินสูงกว่ารอยน้ำท่วม ซึ่งดูจากรอยตะไคร้ในบนกำแพง ให้สูงกว่ารอยดังกล่าว 50 เซนติเมตร
3. ดูทิศทางแดด ทิศทางลม และดูแปลนบ้าน
หลังจากสามารถเลือกที่ดินได้แล้ว ถัดมาคือการเลือกตำแหน่งจัดวางบ้านในที่ดิน ซึ่งการวางแปลนบ้าน ต้องพิจารณาจากสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เช่น แสงแดด หรือทิศทางลม เพื่อให้สามารถจัดวางตำแหน่งห้องได้อย่างถูกต้อง สำหรับทิศทางของแสงแดด จะวิ่งเป็นแนวตะวันออกไปทางทิศใต้ และสิ้นสุดที่ทิศตะวันตก เหมาะสำหรับห้องที่ไม่ได้ใช้เวลาอยู่นาน หรือห้องที่ต้องการแสงแดดเพื่อลดความชื้น อย่าง ห้องน้ำ ห้องครัว หรือพื้นที่ซักล้าง เป็นต้น
ในส่วนทิศทางลม บ้านที่ดีควรหันด้านยาวของตัวบ้านเข้าหาลม เพื่อเพิ่มพื้นที่การรับลมจากธรรมชาติเข้าบ้าน ซึ่งจะช่วยระบายความร้อนภายในบ้านได้ดี อีกทั้งยังเป็นการประหยัดพลังงาน ช่วยลดการใช้ไฟฟ้าจากเครื่องปรับอากาศภายในบ้านได้อีกด้วย
4. ดูทิศทางการวางบันได
สำหรับทิศทางในการวางบันได ไม่แนะนำให้หันไปทางทิศตะวันตก เนื่องจากทิศตะวันตกเป็นทิศที่มีแสงแดดตอนบ่ายค่อนข้างแรง อาจทำให้บันไดร้อนเกินไป หรือแสงแดดจ้าที่อาจส่องเข้าตา ทำให้เจ้าของบ้านแสบตาจนเกิดอุบัติเหตุได้
5. ความสูงของเพดาน
ความสูงของเพดานเป็นสิ่งสำคัญ หากออกแบบให้เตี้ยไป เวลาอยู่อาศัยอาจรู้สึกอึดอัดได้ แต่หากออกแบบให้สูงไปก็จะโคร่ง ๆ และเปลืองพลังงานจากเครื่องปรับอากาศได้ โดยความสูงของฝ้าโดยทั่วไป ควรสูงไม่น้อยกว่า 2.40 เมตร เป็นความสูงที่กำลังดี ซึ่งทำให้ผู้อยู่อาศัยไม่รู้สึกอึดอัด หรือโดนกดทับ
6. ดูจำนวนสมาชิก และจำนวนผู้พักอาศัยในบ้าน
การออกแบบบ้านควรคำนึงถึงจำนวนสมาชิก และไลฟ์สไตล์ของผู้อาศัยที่อยู่ในบ้าน เนื่องจากสมาชิกในบ้านแต่ละหลัง มีทั้งเพศ และช่วงอายุ ที่แตกต่างกัน ซึ่งล้วนส่งผลต่อความต้องการพื้นที่ของแต่ละคนที่แตกต่างกันด้วย ดังนั้น ควรเตรียมข้อมูลต่าง ๆ เพื่อปรึกษากับบริษัทรับสร้างบ้าน กทม. เพื่อให้ได้รับแปลนบ้านที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยมากที่สุด
เป็นอย่างไรกันบ้างกับข้อควรรู้ก่อนเลือกสร้างบ้านในเมืองหลวง โดยบริษัทรับสร้างบ้าน กทม. ซึ่งมีสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ และพิจารณาโดยละเอียดเป็นอย่างมาก แต่หากคุณได้ร่วมงานกับบริษัทรับสร้างบ้านที่มีความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ อย่าง Royal House สามารถมั่นใจได้เลยว่าคุณจะได้บ้านคุณภาพดี ตรงตามความต้องการ และตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุด ที่สำคัญหมดกังวลเกี่ยวกับข้อกฎหมายไปได้เลยว่าจะมีอะไรผิดพลาดไปหรือไม่ เพราะเราพร้อมแนะนำ และให้คำปรึกษาก่อนเริ่มการสร้างอย่างมืออาชีพ หากต้องการสอบถามเพิ่มเติม สามารถติดต่อเราได้ที่ Line: @royalhouse