อากาศร้อนกับเมืองไทยเป็นของคู่กัน แต่ด้วยปัจจุบันเทรนด์บ้านสไตล์โมเดิร์น และบ้านสไตล์มินิมอล มาแรงอย่างไม่มีตก เพราะเป็นบ้านที่ดูโปร่งสบาย และไม่คับแคบ ซึ่งจะมีการตกแต่งด้วยประตู และหน้าต่างกระจกบานใหญ่ เพื่อให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาอย่างสวยงาม แต่หากเลือกกระจกไม่ดี ก็อาจทำให้บ้านร้อนยิ่งกว่าเดิม
ดังนั้น ในบทความนี้ Royal House บริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำของประเทศไทย จะพาทุกคนมารู้จักกับกระจก 5 ประเภท ที่ช่วยให้บ้านเย็นสบาย แม้แสงแดดจัด พร้อมกับแชร์เทคนิคเลือกกระจก ให้เข้ากับแต่ละพื้นที่ของบ้าน เพื่อให้บ้านที่สร้างออกมาแข็งแรง และไม่ร้อนอบอ้าว จะมีอะไรที่เจ้าของบ้านควรรู้บ้าง เราไปดูพร้อมกันได้เลย

บริษัทรับสร้างบ้านชวนรู้ ! กระจกแบบไหน เหมาะกับอากาศร้อน
เชื่อว่าหลายคนคงอยากสร้างบ้านสไตล์โมเดิร์น หรือบ้านสไตล์มินิมอล แต่เป็นกังวลว่า หากเลือกกระจกเป็นองค์ประกอบสำคัญ ในการสร้างบ้าน เมื่ออยู่อาศัยจริงอาจรู้สึกร้อน หรือแสบผิวจากแสงแดด และรังสี UV ที่สะท้อนเข้ามาในตัวบ้าน
แต่ในปัจจุบันก็ได้มีกระจกกันความร้อน ให้เลือกใช้หลายแบบ เพื่อให้สมาชิกในบ้านใช้ชีวิตได้อย่างสบาย โดยที่อากาศไม่ร้อนอบอ้าว ซึ่งกระจกที่เหมาะกับอากาศร้อนจัด ก็มีให้เลือกด้วยกัน5 ประเภท ดังนี้
กระจกตัดแสง
กระจกตัดแสง (Heat Absorbing Glass) เป็นกระจกกันความร้อนที่บ้านส่วนใหญ่นิยมใช้ เพราะมีราคาไม่แพง โดยกระจกตัดแสงผลิตจากการผสมของออกไซด์ของโลหะชนิดต่าง ๆ เข้าไปในเนื้อกระจก โดยกระจกสีตัดแสง ที่นิยมใช้ในการสร้างบ้านมากที่สุด คือ สีเขียว เพราะเป็นสีที่แสงสามารถส่องผ่านได้มากถึง 75% แต่ความร้อนผ่านได้เพียง 49% เท่านั้น ทำให้บรรยากาศในบ้านดูไม่มืดทึบ และสบายตา
กระจกรีเฟล็กทีฟ
ในส่วนของกระจกรีเฟล็กทีฟ (Reflective Glass) คือ กระจกเคลือบผิว ที่นำไปผ่านกระบวนการเคลือบโลหะ เพื่อให้เกิดการสะท้อนแสง และความร้อนจากแสงอาทิตย์ ทำให้ลดการใช้เครื่องปรับอากาศ และประหยัดพลังงานได้ดี ตอบโจทย์บ้านที่มีสมาชิกอยู่เยอะ และต้องการลดค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน
กระจกโลว์อี
กระจกโลว์อี หรือ Low-E (Low Emission Glass) เป็นกระจกที่เคลือบด้วยโลหะเงิน (Ag) ทำให้สะท้อนความร้อนได้ดีกว่าออกไซด์จากโลหะ ทั้งยังมีความใส และมองผ่านได้ง่ายกว่า เหมาะกับอาคารที่ต้องการประหยัดพลังงาน และต้องการแสงธรรมชาติเทียบเท่าเดิม
โดยกระจก Low-E แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ กระจก Low-E แบบผิวเคลือบผิวแข็ง (Hard Coat Low-E) ซึ่งลดการแผ่รังสี UV เข้าสู่ตัวอาคารได้น้อย ทำให้กักเก็บความร้อนภายในอาคารได้ดี และกระจก Low-E แบบผิวเคลือบผิวอ่อน (Soft Coat Low-E)
กระจกนิรภัย
กระจกนิรภัย หรือกระจกลามิเนต (Laminated Glass) เป็นการนำกระจกธรรมดา หรือกระจกเทมเปอร์ ตั้งแต่ 2 แผ่นขึ้นไป มาประกอบกัน และคั่นตรงกลางด้วยแผ่นฟิล์ม PVB และ EVA ทำให้เป็นกระจกที่ทนทานต่อแรงกระแทก และแรงดันสูง ทั้งยังป้องกันความร้อน และรังสี UV ได้มากถึง 90% เหมาะกับบ้านที่ต้องการความเงียบสงบ เพราะกระจกนิรภัยป้องกันเสียงรบกวน และเก็บเสียงได้ดี
กระจกฉนวนกันความร้อน
กระจกฉนวนกันความร้อน (Insulated Glass) เป็นกระจกที่ถูกออกแบบมา เพื่อป้องกันความร้อนเป็นพิเศษ โดยวิธีการทำกระจกฉนวนกันความร้อน เกิดจากการนำกระจก 2 แผ่นขึ้นไปมาประกบกัน และเว้นช่องตรงกลาง สำหรับติดตั้งเฟรมอะลูมิเนียม ทำให้สามารถสะท้อนแสงแดดออกไปได้มากกว่า 95-98% ส่งผลให้ช่วยลดการทำงานของเครื่องปรับอากาศ และรักษาอุณหภูมิภายในอาคารให้คงที่
ทั้งนี้ สำหรับใครที่กำลังวางแผนสร้างบ้าน และมองหาบริษัทรับสร้างบ้าน ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของวัสดุ Royal House พร้อมเป็นเพื่อนคู่คิดของคุณ ในการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับวัสดุต่าง ๆ และแนวทางการสร้างบ้าน ที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัย เพื่อให้บ้านที่สร้างออกมา กลายเป็นเซฟโซนที่ดีที่สุดในชีวิตคุณ

Tips เลือกกระจกให้บ้านเย็นสบาย ป้องกันแดดได้จริง ปลอดภัยทุกพื้นที่
แม้ว่ากระจกจะมีให้เลือกมากมายในท้องตลาด แต่หากเลือกรูปแบบกระจก และความหนาไม่เหมาะสม อาจทำให้บ้านร้อนอบอ้าว หรือโครงสร้างบ้านไม่ทนทานมากพอ ส่งผลให้เจ้าของบ้าน ต้องมานั่งเสียค่าซ่อมบำรุง หรือมองหากระจกบานใหม่ มาติดตั้งตามมุมต่าง ๆ ของบ้าน ซึ่ง Royal House ได้รวบรวมเทคนิคการเลือกกระจกมาไว้ให้แล้ว ดังนี้
บานตู้
โดยปกติแล้ว จะนิยมใช้กระจกแบบทึบ และกระจกบานใส รวมถึงกระจกที่มีลวดลายต่าง ๆ มาทำเป็นบานตู้ หรือบานประตูกั้นระหว่างห้อง ขึ้นอยู่กับ Mood & Tone ที่ต้องการ โดยความหนาที่เหมาะสม จะอยู่ที่ประมาณ 10 มิลลิเมตร แต่หากต้องการทำบานตู้ ที่มีขอบเฟรมเป็นไม้ หรือเหล็ก ควรมีความหนาที่ 5-6 มิลลิเมตร
ชั้นวางของ
การใช้ชั้นวางของกระจก ช่วยให้ภาพรวมของบ้านดูทันสมัย และไม่มืดทึบ ทั้งยังทำความสะอาดได้ง่าย หากใครที่ต้องการสร้างชั้นวางของกระจก แนะนำให้ใช้กระจกนิรภัยเทมเปอร์ หรือกระจกเงาเคลือบสี เพราะมีความแข็งแรง ทนทาน และสามารถรองรับข้าวของเครื่องใช้ ที่มีน้ำหนักมากได้ดี
โดยความหนาของกระจกที่เหมาะสม ควรมีความหนาอยู่ที่ประมาณ 5 มิลลิเมตร แต่หากต้องการใช้ชั้นวางของ รับน้ำหนักได้มากขึ้น ควรเพิ่มความหนาเป็น 10 มิลลิเมตร
ประตู และหน้าต่าง
ประตู และหน้าต่างกระจก เป็นสิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลย สำหรับบ้านสมัยใหม่ เพราะเป็นตัวช่วยที่ทำให้บ้านดูโปร่งโล่ง และใกล้ชิดกับธรรมชาติยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยเปิดรับลม และระบายอากาศให้ถ่ายเท ซึ่งกระจกที่เหมาะกับการทำประตู และหน้าต่าง ได้แก่ กระจกนิรภัย และกระจกสีตัดแสง
สำหรับความหนาที่เหมาะกับประตู และหน้าต่างบานกระจก หากมีกรอบเฟรมไม้ หรือเล็ก ควรเลือกใช้ความหนาประมาณ 6 มิลลิเมตร ในขณะที่ประตู และหน้าต่างที่ไม่มีกรอบเฟรม ควรมีความหนาอยู่ที่ 10 มิลลิเมตรขึ้นไป เพื่อความแข็งแรง และทนทาน มั่นใจได้ว่าโครงสร้างบ้านจะไม่เสียหาย
ท็อปโต๊ะ
บ้านสไตล์โมเดิร์นส่วนใหญ่ มักเลือกโต๊ะกระจกมาเป็นส่วนหนึ่งของห้องรับประทานอาหาร หรือโต๊ะกลาง เพื่อเพิ่มความโดดเด่นให้กับบ้าน และสร้าง Mood & Tone ที่ดูโมเดิร์นยิ่งขึ้น โดยกระจกที่เหมาะกับการใช้เป็นท็อปโต๊ะ ได้แก่ กระจกตัดแสงเคลือบสี หรือกระจกพิมพ์ลายต่าง ๆ พร้อมกับตัดแต่งตามรูปทรงที่ต้องการ
ซึ่งความหนาที่เหมาะสม กับการทำท็อปโต๊ะ จะอยู่ที่ 6-12 มิลลิเมตร โดยแนะนำให้เลือกความหนา ตามสิ่งของที่ต้องการวางบนโต๊ะ และโครงสร้างที่รับน้ำหนัก เพื่อให้แน่ใจว่ากระจกจะสามารถรับน้ำหนักได้ดี และไม่เกิดร้อยร้าว หรือเกิดแรงกระแทก จนเกิดรอยแตกในที่สุด
ผนัง
ผนังกระจก เป็นที่นิยมมากขึ้นในการออกแบบบ้านสมัยใหม่ เพราะกระจกสามารถอำพรางสายตา ให้พื้นที่ในห้องดูกว้างยิ่งขึ้น ทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกสบาย และไม่อึดอัด ตอบโจทย์บ้านยุคใหม่ที่มีพื้นที่จำกัด โดยส่วนใหญ่แล้วจะนิยมติดตั้งผนังกระจก บริเวณหัวเตียง มุมแต่งตัว หรือตกแต่งในบริเวณพื้นที่ห้องนั่งเล่น
สำหรับความหนาที่เหมาะสม กับการกรุผนังกระจก จะมีความหนาอยู่ที่ 5-8 มิลลิเมตร ขึ้นอยู่กับประเภทกระจกที่เลือก และความหนาที่ต้องการ ทั้งนี้ แนะนำให้ปรึกษากับวิศวกร หรือบริษัทรับสร้างบ้านอย่างละเอียด เพื่อป้องกันไม่ให้โครงสร้างบ้านมีรอยร้าว หากติดตั้งกระจกที่มีน้ำหนักมากจนเกินไป
หลังคากระจก
บ้านยุคใหม่ กับหลังคากระจกเป็นของคู่กัน เนื่องจาก หลังคากระจก หรือหลังคาโปร่งใสช่วยให้บ้านดูโปร่ง สบาย และสร้าง Mood & Tone ที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติยิ่งขึ้น ซึ่งกระจกที่เหมาะสม กับการนำมาติดตั้งเป็นหลังคา ได้แก่ กระจกนิรภัย เพราะเป็นกระจกที่มีความแข็งแรง และป้องกันการแตกเปราะได้ดี
สำหรับความหนาที่เหมาะสม กับการติดตั้งเป็นหลังคากระจก จะมีความหนาอยู่ที่ 10-20 มิลลิเมตร ซึ่งหากเลือกบริษัทรับสร้างบ้าน ที่มีความรู้ และความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างบ้านอย่างลึกซึ้ง วิศวกรก็จะเลือกกระจกที่มีความหนา พอเหมาะกับโครงสร้างบ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้ผนังบ้านร้าว จนต้องเสียค่าซ่อมบำรุงในที่สุด
สุดท้ายนี้ สำหรับใครที่กำลังวางแผนสร้างบ้านสไตล์โมเดิร์น หรือบ้านสมัยใหม่ ที่เน้นการออกแบบให้โปร่งโล่ง ด้วยการติดตั้งกระจกบานใหญ่ สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือการเลือกบริษัทรับสร้างบ้าน ที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับการสร้างบ้านในรูปแบบต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง ซึ่ง Royal House เป็นผู้เชี่ยวชาญ ด้านการสร้างบ้าน ที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 39 ปี
เรามีความเข้าใจ และเชี่ยวชาญตั้งแต่การออกแบบบ้าน ให้เข้ากับที่ดิน โครงสร้าง และเงื่อนไขการอยู่อาศัยของแต่ละครอบครัว ทั้งยังเข้าใจเรื่องการติดต่อหน่วยงานราชการ ไปจนถึงการรับประกันหลังสร้างเสร็จ หากสนใจติดต่อสอบถามข้อมูล ได้ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือปรึกษาเพิ่มเติมได้ที่ Line: @royalhouse




